ครูของฉัน นายช่างหรือเรือจ้าง
รำลึกถึงวันครู จึงได้ย้ายจาก blog มาเก็บไว้ที่งานเขียน
ผู้เข้าชมรวม
955
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
วันหนึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งนั้น มีรูปปั้นหินอ่อน ถ้าใครอยากเห็นปฏิมากรรมที่คล้ายๆกันในบ้านเราไปดูที่พระที่นั่งอนันตมหาสมาคม บ้านเราก็สวยไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ผมได้มีโอกาสพาคุณแม่ไป ซึ่งเมื่อก่อนเขาจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันเด็กเท่านั้น เราซื้อบัตรเข้าไปชมพระที่นั่งวิมานเมฆในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อชมเสร็จก็เดินอ้อมไปจนกระทั่งถึงพระที่นั่งอนันตมหาสมาคม คุณแม่ผมดีใจมาก วันนั้นพอเข้าไป คุณแม่นอนดูอย่างสบายใจ อย่างมีความสุข เพราะว่าจิตรกรรมฝาผนังที่วาดไว้สวยมาก สักพักมีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาบอกแม่ผมว่า 'คุณป้าคะนอนดูไม่ได้' คุณแม่เลยลุกและบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า "คุณช่วยไปบอกนางแหม่มคนนั้นด้วยให้ลุกขึ้นด้วย" ผมอดขำไม่ได้ บอกกับท่านว่า แม่รู้ไหมที่เขานอนดูเพราะใคร เพราะแม่แหละ เราเป็นเจ้าบ้านไปนำเขา ท่านหัวเราะอย่างมีความสุข
พอภาพฝันชัดเจน
เหมือนบันไดหินอ่อน ได้ตัดพ้อต่อว่า มันไม่ยุติธรรมเลยที่ทุกคนทุกทั่วสาระทิศใช้เท้าสกปรกเดินเข้าเหยียบย้ำตัวฉันแล้วเดินเข้าไปชื่นชมตัวเธอ มันไม่ยุติธรรม ... แล้วรูปปั้นหินอ่อนพูดกับบันไดหินอ่อนว่า เธอลองคิดดูนะ คิดให้ดี เรามาจากแหล่งหินเดียวกัน ภูเขาลูกเดียวกัน เรามาให้นายช่างเลือก มาพร้อมๆกัน แล้วนายช่างก็เลือกเธอกอ่นด้วยซ้ำไป แต่ทันทีที่เขาเริ่มลงมือใช้สิว ค้อน กระดาษทรายขัดลงบนตัวเธอ ให้เป็นรูปปั้นหินอ่อนที่สวยงาม แต่ะเธอ กลับตระโกนร้องอย่างเจ็บปวด แล้วบอกกันนายช่างว่า ได้โปรดเถิดนายช่าง หยุดเถอะนายช่าง มันเจ็บปวดเหลือเกิน ฉันทนไม่ไหวแล้ว โปรดหยุดมือของท่าน แล้วเขาก็มาเลือกฉัน
ถามว่า ทุกครั้งที่นายช่างเอาสิวตอกบนตัวฉันเพื่อขัดเอาสิ่งไม่จำเป็นออกไป ฉันเจ็บไหม บอกได้ว่า เจ็บ ทุกครั้งที่นายช่างฝนสิวตามแขน ตามขา ใช้เหล็กแหลมๆ กรีดเข้ามาบนตัวฉัน เป็นคิว เป็นขนตา หรือแม้แต่เป็นเส้นผมสักเส้นมันเจ็บเข้าไปในหัวใจเลยละ แต่ฉันก็อดทนเพราะฉันรู้ว่านายช่างกำลังเปลี่ยนแปลงตัวฉันจากคนธรรมดาๆให้เป็นปฏิมากรรมหินอ่อนที่สวยงาม ฉะนั้นเธอไม่ต้องแปลกใจที่ผู้คนจะเหยียบย่ำต้วเธอแล้วหันมาชื่นชมในตัวฉัน แต่กว่าฉันจะเป็นรูปปั้นหินอ่อนที่สวยงามได้ฉันต้องใช้ความ
สต๊าฟเหล่านี้(ครูพูดถึงฉันและพี่น้องอีกหลายคน) ทุกคนที่มาในวันนี้ คนเหล่านี้ที่มาในวันนี้ไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไร แต่ทุกคนมาเมื่อรู้ว่าผมมา ถามว่าเขาเดือดร้อนไหม เขาไม่ได้เดือดร้อน แต่เขามาเพราะต้องการความสุขที่แท้จริงที่เขาต้องการแสวงหาให้กับชีวิตของเขา
3วัน 2 คืน ผมอาจจะจ้ำจี้จ้ำไช กับความเป็นส่วนตัวของแต่ละคน บางครั้งก็ออกจะมากเกินไป อย่างที่ไม่เคยมีวิทยากรท่านใดเคยทำมาก่อน เพราะภาพของผมก็ไม่ต่างอะไรกับพวกท่าน มันใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนโดยไม่รู้ว่าต้องการจะทำอะไรตรงไหน เราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต เพราะความสุขที่แท้จริงในชีวิตมันไม่มีหรอก มีแต่เราต้องการเป็นบุคคลที่สำคัญ พอเรารักอาจารย์เพียงแต่ในเบื้องตนแล้วเราพาตัวเองไปให้อาจารย์รู้จักแล้วอยากให้ท่านรักเรา พอใครใช้อะไรทำหมด เพียงแค่พอทำอะไรสักอย่างก็นั่งรอให้เขามาชื่นชม ดีมาก ดี เยื่ยมมากเลยทำได้อย่างไร แค่นี้ หัวใจพองโต ถามหน่อยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความสุขแท้จริงหรือไม่....ไม่...มันเป็นยาละลายกระดูก
หลายๆคนชอบคำหวาน ชอบคำยกยอบอปั้น แต่ถ้าถูกใครที่พูดตรงๆไม่ชอบรับไม่ได้ มันจึงบอกว่า ในแต่ละองค์กร มีทั้งคนเก่งและคนดี แต่ถามว่าคนเก่งรับองค์กรอย่างแท้จริงไหม ไม่หรอกเพราะเมื่อที่ไหนดีกว่าเขาจะไปทันที อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เขาจะไปหาเอาใหม่ข้างหน้าก็ได้ แต่ถ้าคนดีเขายืนอยู่กับองค์กร แล้วเขาจะช่วยคิดช่วยทำเพราะเขาคิดว่าองค์กรนี้เป็นของเขา เป็นที่กิน ที่นอน ที่ผักผ่อนจนกว่าจะตาย เขาจะทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับองค์กรของเขา สิ่งเหล่านี้มันหาได้น้อยมากในสังคมไทยในปัจจุบัน ผมจะบอกกับตัวเองว่า ถ้าเมื่อใดมีความพร้อมผมจะเดินทางให้โอกาสทางความคิดกับผู้คน
การที่ผมได้คนพบตัวเอง มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นทรัพย์อันมหาศาล มากที่สุดในชีวิตผม
ผมได้ถามภรรยาของผมว่า ผมต้องเตรียมงบประมาณและทรัพย์สินเท่าไหร่ ถ้าผมจะเดินทางมาทำอะไรแบบนี้ ในขณะนั้นผมกำลังสร้างฐานะ ผมทำงานเป็นลูกจ้างแบบทำมากได้มากทำน้อยได้น้อย ไม่ทำก็ไม่ได้อะร แต่มันได้หล่อหลอมให้ผมเป็นปัจจุบันนี้ ถามว่ามันใช่สิ่งที่ผมต้องการไหม? เปล่าเลย
เพราะผมมีภาพฝันในจินตนาการ ผมตัดสินใจ ภรรยาผมคำนวณอยู่ประมาณเกือน 2 เดือนแล้วเธอก็บอกผมว่าต้องการมีเท่านี้เขาถึงจะพอ ถ้าพ่อจะลาออก แล้วผมก็ทำ ทำจนให้พอก้บเธอ แล้วผมก็ได้มีโอกาสเดินทางมาให้โอกาสทางความคิดกับผู้คน ถามว่ามันคุ้มไหม ไม่คุ้มหรอกกับการที่ต้องให้คนอื่นมาเกลียดขี้หน้าเรา กับต้องพาตัวเองมาเหน็ดเหนื่อย มาจ้ำจี้จ้ำไช ยืนพูดยังไม่พอต้องใช้สมองคิด
เมื่อสักครู่ที่ทุกคนเล่นละครผมต้องนั่งดูและบันทึกแต่ละท่านและดูว่าแต่ละคนได้ใช้ความสามารถขับอัจฉริยภาพ พลังแฝงที่ซ้อนเร้น บางคน 2วันที่ผ่านมาไม่ได้แสดงอะไรเลย บางคนต้องขยี้ตาใช่คนเมื่อเช้าหรือเปล่า มันเพียงแต่ว่าตัวเราเองไม่รู้ ว่าตัวเรามีความสามารถขนาดไหนมันเหมือนยักษ์ที่อยู่ในตะเกียง มันถูกซ่อนอยู่ ถ้าไม่ขัดให้ออกมา พอยักษ์ออกมาเจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าเห็นไหม...
สิ่งที่สำคัญที่สุดวันนี้นั่งฟังคุณหมอ(วิทยากรส่วนของสาธารณสุข) ท่านพูดเรื่องออกกำลังกาย การออกกำลังยังต้องใช้แรงบันดาลใจ พามว่ามันสอดคล้องกับสิ่งที่ผมให้ไหม? สอดคล้องไหมครับ ผมจึงบอกว่า เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้วให้อยู่ในบรรยากาศตลอดเวลา ผมไม่แปลกใจเมื่อคุณกับท่านผอ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาล) ท่านบอกว่า "ผมรู้สึกหนักใจ การที่เราจะเปลี่ยนใครสักคนมันเป็นเรื่องยาก " ผมบอกว่าผมเข้าใจดีเพราะผมอยู่ตรงนนี้มาตลอดชีวิตผม ผมทราบแม้นแต่ตัวผมเองกว่าจะเอาชนะตัวเองได้ก็กว่าครึ่งชีวิต...แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดมันไม่เคยมี หรือมันไม่สามารถลบล้างปฏิธานผมได้ มันเหมือนกับสต๊าฟ เหล่านี้ที่มองมาทางผม เห็นแสงแห่งศรัทธาในตัวผม ผมต้องทำให้ทุกชีวิตที่เป็นลูกศิษย์ดีขึ้น แต่จะดีขึ้นด้านไหนนั้นต้องค่อยๆดูกันไป (ฉันนะ..อยากร้องไห้จัง..และรู้สึกตนเองดวงดีเหลือเกินที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน) อยู่ใกล้ๆผมไม่สบายหรอกครับเขาจะถูกกรีดถูกแซะถูกต้ดตลอดเวลาจนจะซาดิสต์กันหมดแล้ว ผมได้แต่บอกว่าทำกันต่อไป ไม่เป็นไรหรอกอย่างน้อยๆเราก็มีความสุข และมีความสุขในชีวิตของเราให้ได้ หามันให้เจอแล้วชีวิตเราจะดีขึ้น
ผลงานอื่นๆ ของ duang-dee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ duang-dee
ความคิดเห็น